
ทั้งนี้ การส่งออกทองคำของไทยที่อยู่ในหมวดอัญมณีและเครื่องประดับ ระหว่างเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2568 ตามตัวเลขของสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (GIT) พบว่า ไทยมีการส่งออกไปยังกัมพูชา อยู่ในอันดับ 3 รองจากการส่งออกไปยังสวิตเซอร์แลนด์ และอินเดีย ซึ่งเป็นแหล่งค้าทองคำที่สำคัญของโลก โดยตัวเลขการส่งออกไปยังกัมพูชา 7 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่มูลค่า 71,แบงก์ชาติเรียกถกด่วนผู้ค้าทองรายใหญ่กยนี้tod站群开发886,633,245 บาท คิดเป็น 13.60% เมื่อเทียบกับการส่งออกช่วงเดียวกันของปี 2567 เพิ่มขึ้น 19.06%

ด้านนายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่าช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา การแข็งค่าของเงินบาทยิ่งเร่งตัวขึ้น เมื่อเทียบประเทศอื่นในภูมิภาค โดยดัชนีตะกร้าค่าเงินบาทใกล้เคียงในช่วงปี 2540 ที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่ไม่ได้หมายความว่าไทยจะเจอวิกฤต เนื่องจากระบบค่าเงินบาทมีความยืดหยุ่นมากกว่า แต่ยอบรับว่าจะทำให้แเรื่องแต้มต่อเรื่องการส่งออกและท่องเที่ยวลดลง

ทั้งนี้ ค่าเงินบาทช่วงเดือนที่ผ่านมีแนวโน้มแข็งค่าเร่งตัวขึ้น จากปัจจัยภายนอก เงินดอลลาร์อ่อนค่า เนื่องจากประธานาธิบดีระธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ต้องการกระตุ้นการส่งออก รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยนโยบายจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ส่วนปัจจัยภายในประเทศที่สำคัญคือทอง เนื่องจากไทยส่งออกทองคำค่อนข้างมาก และยิ่งช่วงนี้ราคาทองปรับเพิ่มขึ้น อาจทำให้ผู้ส่งออกทองคำของไทยส่งออกไปมากขึ้น ซึ่งมีการส่งออกในสกุลเงินดอลลาร์ ดังนั้นเมื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาท ยิ่งกดดันเงินบาทแข็งค่าเมื่อราคาทองคำสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาพบว่าเมื่อราคาทองคำปรับขึ้น ผู้ค้าทองคำไทยจะส่งออกทองคำมากขึ้น ทั้งนี้ มองว่าหากในอนาคตมีการซื้อขายทองคำเป็นเงินดอลล่าร์แทนเงินบาทก็จะช่วยลดแรงกดดันและทำให้ค่าเงินมีความสมดุลมากขึ้น ซึ่งเข้าใจว่าขณะนี้สามารถทำได้แล้ว แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังติดภาพการซื้อขายเป็นเงินบาท และยังเป็นการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศอีกด้วย